เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๑ ก.ย. ๒๕๔๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๔๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

๒ เดือนแล้วเนาะ อีกเดือนเดียวออกพรรษาแล้ว วันคืนล่วงไป ๆ เราจะเอาอะไรเป็นที่พึ่ง เวลาว่าเอาที่พึ่งนะ เราเอาที่พึ่ง เวลาเราหาอยู่หากินกันนี่มันมีที่พึ่งที่อาศัย ที่พึ่งที่อาศัยเพื่อชีวิตดำรงเลี้ยงชีพได้ แต่เลี้ยงชีพนั่นน่ะ ทุกคนขวัญเห็นไหม ขวัญและกำลังใจ นี่วันพระ วันนี้วันไหว้พระจันทร์ นี่เพื่อบำรุงขวัญ คนเรานี่ขวัญอ่อน ขวัญอ่อนแต่อาศัยที่ว่ามันจะขนาดไหนมันก็สังคมมนุษย์อาศัยกันไป อยู่ด้วยกันไปเป็นสังคม เป็นที่พึ่งอาศัยกัน จะอุ่นอกอุ่นใจไง

แต่หัวใจมันก็ว้าเหว่ ในหัวใจนี่มันว้าเหว่มันไม่มีที่พึ่งอาศัย ขวัญมันไม่ดีถึงต้องทำบุญกุศล ทำกุศลนี่มันเป็นสำเร็จรูป มันเป็นสำเร็จมา เราทำบุญไป บุญกุศลสำเร็จรูปมาเป็นความอุ่นอกอุ่นใจว่าเรามีที่พึ่งที่อาศัย เราได้สละทานออกไป เราจะไปไหนเราก็มีปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัยของเราไป อาศัยของใจนะ นี่ศาสนาสอนอย่างนั้น พระพุทธเจ้าสอนอย่างนั้น สอนเรื่องการเกิดและการตาย

การเกิดและการตายเวียนไปในวัฏฏะนี่ มันต้องมีที่พึ่งที่อาศัยไป ไม่ต้องทุกข์ลำเค็ญมากนัก เพราะว่ามันไปปิดกั้นความเกิดและความตายไม่ได้ ความเกิดและความตายนี่เป็นธรรมชาติอันหนึ่งที่หมุนเวียนไป ถึงจะต้องหมุนเวียนไปก็ให้มีเครื่องอยู่เครื่องอาศัยไป เราถึงต้องสร้างบุญกุศลของเราเพื่อเป็นที่พึ่งที่อาศัย นี่ขวัญกำลังใจเกิดตรงนั้น

แล้วจะมีตลอดไป ปีแล้วปีเล่าจะอยู่อย่างนี้ เห็นไหม เข้าพรรษาออกพรรษาทุกปีไป ๆ เพื่อให้คนมีโอกาส ถ้าคนมีโอกาสเวลาใจมันเจริญรุ่งเรืองขึ้นมานี่ มันจะขวนขวาย มันจะหาทางของมันไป ถ้าคนเราใจไม่สนใจของเราไป ใจของคนเห็นไหม ทำลายตัวเอง ทำลายโอกาสของตัวเอง ถ้าทำลายโอกาสของตัวเอง ตัวเองจะไม่มีที่พึ่งที่อาศัย ถ้าไม่ทำลายโอกาสของตัวเองนี่ โอกาสของเรามาถึงเราต้องรีบคว้าของเราไว้ เพราะใจของเรามันไม่แน่นอน

สรรพสิ่งโลกนี้มันไม่แน่นอนเลย วันนี้มีศรัทธาความเชื่อมาก วันต่อไปศรัทธาความเชื่อมันก็เริ่มคลอนแคลน จะมีจริงหรือไม่มีจริง เห็นไหม กิเลสมันจะหลอกอย่างนั้น ทำบุญแล้วจะได้บุญจริงไหม บุญกุศลมันจะมีจริงไหม นรกสวรรค์มีจริงไหม? มันต้องมีจริงแน่นอน มีจริงแน่นอนเพราะคนเกิดคนตาย แล้วมันมีที่อยู่ที่อาศัย คนเราตายไปแล้วมันถึงจะไปเห็นสภาวะนั้น

เวลาเปิดโลกธาตุน่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเสด็จลงมาจากสวรรค์ ขณะที่เปิดโลกธาตุนี่ในพุทธวิสัยองค์หนึ่งจะมีเหตุการณ์อย่างนั้นครั้งหนึ่ง เหตุการณ์ให้เราเห็นนรกเห็นสวรรค์ เห็นที่ไปของจิต เราก็มีแก่ใจในการสร้างบุญสร้างกุศล เห็นนรกมันเป็นที่ว่าเราระแวง เราไม่อยากทำความผิดพลาดของเราไป ความผิดพลาด

แต่มันเรื่องของคนเรา สติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์น่ะ มันมีความผิดพลาดโดยธรรมชาติของความพลั้งเผลอ สติไม่สมบูรณ์ต้องมีความพลั้งเผลอ ความผิดแล้วเราพยายามทำคุณงามความดี พยายามยับยั้งสิ่งนั้นได้ ฝึกฝนไป ความฝึกฝนของใจ ใจเริ่มพัฒนาขึ้นมา ขวัญกำลังใจเกิดขึ้นมาจากเราให้ขวัญกำลังใจเราเอง แล้วถ้ามีขวัญกำลังใจขึ้นมา อย่างฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมนี้เป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา

ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมานี่ น้อยคนนักที่จะรู้ได้ แล้วน้อยคนนักที่จะรู้ได้นี่ แล้วมันจะเข้าใจได้อย่างไร ถ้าเข้าไม่ถึงจะเอาอะไรมาพูดกัน มันความจำ เห็นไหม พูดจากความจำความไม่แน่ใจ ทุกคนไม่แน่ใจ แม้แต่พระเองพระที่บวชเองนี่ เปอร์เซ็นต์มากเลยที่ว่าไม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์นะ แต่ก็อยู่มาในเพศสมณะนี้ต่อไปเรื่อย ๆ เพราะว่ามันเป็นอาชีพอันหนึ่ง

แต่ถ้าเราเชื่อนรกสวรรค์ขึ้นมาจะต้องทำคุณงามความดี จะต้องเชื่อสิ่งที่ความเป็นไปของเรา ความเป็นไปของกรรม ของบุญกุศลนี่มันจะผลักไสให้จิตดวงนี้เป็นไปประสานั้น แล้วมันพลิกแพลงได้ คนเราไม่เคยทำนี่ ศึกษามาขนาดไหนนะ เรียนมาขนาดไหน มันเป็นความรู้ความเข้าใจของตัวเอง ว่าตัวเองตัวเข้าใจแล้ว แต่ตัวเองเข้าใจขนาดไหนมันก็มีความลังเลสงสัย

แต่ผู้ที่เข้าไปประสบตามความเป็นจริงนี่มันจะลังเลสงสัยไปที่ไหน มันเห็นตามความเป็นจริงของใจนั้น ใจนั้นเห็นตามความเป็นจริง เห็นตามความจริงโดยที่ว่ามันแก้ไขไป บุญกุศลเกิดจากตรงนี้ ตรงที่มันเป็นไป นี้บุญกุศลเกิดเป็นไปนี่ มันไม่มีคำตอบ มันเป็นขึ้นมา เราทำบุญมาแต่ครั้งไหนเราได้บุญกุศลอันนี้มา ทำบุญแล้วบุญกุศลมาแบบมีคนช่วยเหลือ มาแบบอย่างนั้น

แต่ถ้าการวิปัสสนา การทำใจของตัว ความเข้าใจของตัว สัจธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมนี่รู้จากตรงนี้ เราก็จะรู้จากตรงนี้ รู้จากความเห็นของเรา ขวัญกำลังใจนี้เป็นส่วนหนึ่ง แต่การประพฤติปฏิบัติ ความเข้าใจของเราเป็นอีกส่วนหนึ่ง มันละเอียดกันเป็นสมบัติของบุคคลคนนั้น เป็นสมบัติของใจดวงนั้น ถ้าใจดวงนั้นสร้างสมคุณสมบัติอันนี้ขึ้นมามันจะชำแรกออกไป ชำแรกกิเลสออกไปจากใจ มันจะพัฒนาใจดวงนั้นขึ้นมา แล้วมันจะเห็นการหลุดออกไปจากกิเลสนั้น กิเลสหลุดออกไปจากใจเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป

นั้นเป็นของจริงของใจดวงนั้นที่ประสบพบเห็น เริ่มจากความเชื่อของเรา ศรัทธาความเชื่อก็ขวัญกำลังใจมีที่พึ่งที่อาศัย ไม่เร่ร่อนไง จิตนี้เร่ร่อนไม่มีที่พึ่งเลย น่าสงสารตัวเองนะ ความคิดนี่มันเร่ร่อน อยู่ก็อยู่ไปประสาวันหนึ่ง อยู่ไปแบบว่าพอมีโอกาส โอกาสตรงนี้มันยังเป็นมนุษย์อยู่ มันยังไม่ถึงว่าต้องประสบกรรมสิ่งนั้น เวลาตายลงไปนี่มันต้องไปนะ ไปนรก ไปสวรรค์ ไปสิ่งที่เราสร้างสมมา ตรงนั้นปฏิเสธไม่ได้ สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้มันเป็นความจริง แล้วความตายนี่ก็เป็นความจริงอันหนึ่ง แต่ขณะที่ว่ายังมีชีวิตอยู่นี่ ก็ผัดวันประกันพรุ่งกันไปไง

นี่ปฏิโลม ความคิดปลอบประโลมใจของตัวเองไปว่าเรายังมีที่พึ่งที่อาศัย ปลอบประโลมไปขนาดไหนมันก็ต้องขาด ชีวิตนี้ต้องขาดตอนไป เราถึงต้องหาที่พึ่งออกไป แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ เห็นความเกิดดับของใจ อารมณ์เกิดดับของใจมันสลดสังเวชจนถึงว่า ความเกิดดับของใจนี่มันก็เกิดดับตลอดเวลา ถ้าเราเห็นอารมณ์เกิดดับของใจขึ้นมา เราจะเริ่มบังคับใจของตัวเราเองได้

ถ้าบังคับใจของตัวเองได้นี่มันสงบ สวรรค์ในอก นรกในใจอยู่ตรงนี้ สวรรค์เป็นภพของสวรรค์ ภูมิสวรรค์นั้น เวลาเราทำบุญกุศลเราตายไปเป็นส่วนหนึ่ง แต่เราแก้สวรรค์ในอก นรกในใจนี่เราแก้ที่สวรรค์ในอก เห็นไหม สวรรค์ก็ไม่เอา นรกก็ไม่เอา พ้นจากนรก พ้นจากสวรรค์ไป แต่จะพ้นไปมันต้องทำความเพียรของเราขึ้นมา สัจธรรมสอนสอนตรงนี้ สอนขึ้นมาให้ทุกคน

พุทโธเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานในหัวใจของสัตว์โลกทั้งหมด ทุกดวงใจนี้สามารถเป็นพุทธะได้หมด พุทโธในหัวใจดวงนี้ถ้ามันสว่างไสวขึ้นมามันเข้าใจตามความเป็นจริง เข้าใจตามความเป็นจริงคือเข้าใจธรรมตามความเป็นจริงเห็นอันนั้น แล้วมันจะไม่ประมาทธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหนึ่ง กราบธรรมด้วยความซึ้งใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมก็ยังกราบอยู่ กราบอะไร? กราบสัจธรรมไง

ธรรมนี้มีอยู่โดยดั้งเดิม สัจธรรมคือสัจจะความจริง สัจจะความจริงเราเข้าไม่ถึง เราเข้าไม่ถึงเราก็ไม่รู้ความจริงตามสัจธรรมนั้น ทฤษฎีมีอยู่ เห็นไหม ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ ทดลองวิทยาศาสตร์นี่ถ้าเราทดลองสิ่งนั้น มันก็ให้ค่าตามสิ่งนั้น ถ้าเราทดลอง แต่เราไม่ได้ทดลอง เราก็ไม่เห็นความเห็นไปปัจจัตตัง เกิดจากความเห็นของเรา

ถ้าเราเปิดปัจจัตตังความเห็นของใจ ใจมันเห็นตามความเป็นจริงอันนั้น มันเข้าใจตามความเป็นจริงอันนั้น มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เกิดขึ้นมาจากความทุกข์ความยากของเรา เราพยายามประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ พยายามฝึกฝนตน พยายามดัดแปลงตนขึ้นมา ให้มีพลังงานของใจขึ้นมาให้ได้ ถ้ามีพลังงานของใจขึ้นมา พลังงานของใจตัวนี้มันจะชำแรกเข้าไปในหัวใจของเรา แล้วมันทำอะไร พลังงานของใจแล้วชำแรกไปในหัวใจได้อย่างไร

นี่มันถึงเป็นสัมมาสมาธิไง ในมรรคอริยสัจจังมันจะย้อนกลับมาอย่างนี้ ถ้ามรรคเดินตัวขึ้นมามันแปลกประหลาดมหัศจรรย์ มันมหัศจรรย์มาก ถึงว่าในสามโลกธาตุนี้ปัญญาอันนี้ไม่มี ใครเห็น ปัญญาอันนี้มรรคสามัคคีนี่อันหนึ่งนะ จะเป็นอริยบุคคลขึ้นมาในหัวใจดวงนั้น อริยบุคคลขึ้นมาคือรู้สัจจะความจริงไง ความจริงว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นมาในหัวใจ มันเกิดดับขึ้นมา

แล้วเราไปหลงใหลขึ้นมา จิตใต้สำนึกหลงใหล หลงใหลในสิ่งนั้นเข้าใจสิ่งนั้นตามความว่า เราเข้าใจสิ่งนั้น เห็นสิ่งนั้นว่าเป็นของเรา เป็นความยึดมั่นถือมั่นของเรา เป็นความเห็นของเรา มันยึดมั่นถือมั่นโดยธรรมชาติ มันยึดมั่นถือมั่นโดยกิเลส กิเลสนี่เป็นสิ่งที่ว่ามันทำตามใจอำนาจของมัน มันพอใจสิ่งใดมันก็อยากทำ อยากจะประพฤติปฏิบัติ อยากต้องการแสวงหาสิ่งนั้น พอต้องการแสวงหาสิ่งนั้นขึ้นมา พอมันมีความอยากขึ้นมานี่ผิดถูกนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ถ้าเป็นความถูกต้องขึ้นมา แสวงหาด้วยความถูกต้องมันก็เป็นอำนาจวาสนาที่ควรจะเป็นไป แต่ถ้ามันอยากได้ขึ้นมา ความต้องการขึ้นมาแล้วนี่มันแสวงหาโดยความทุจริต ความเห็นของมัน มันอยากดัดแปลง มันพยายามแสวงหาของมันขึ้นมา มันเป็นโทษขึ้นมากับใจ ผลเกิดจากกิเลส กิเลสทำให้ใจคิดอย่างนั้น ปรารถนาสิ่งนั้น แล้วแสวงหาสิ่งนั้น เป็นโทษกับใจดวงนั้น นี่ทำลายตัวเองทำลายอย่างนั้น

ถ้ามีธรรมในหัวใจมันพยายามชำแรกแยกแยะออกมาว่า สิ่งใดสมควรทำ ทำที่สมควรแล้วมันจะทำสิ่งนั้น ทำตามความเห็นว่าสมควรแล้วมันจะทำขึ้นมา ถ้ามันทำไม่ได้สิ่งนั้นมันก็ยับยั้งไว้ นี่ขันติ ความอดทนของใจ ถ้าใจมีขันติ ขันติอย่างหยาบ ๆ เห็นไหม ผู้ที่ว่ามีอำนาจเหนือเราติเตียนเราได้นี่เรามีขันติ เรามีความอดทนได้ นั้นอย่างหยาบ ๆ ผู้ที่เสมอกันมาติเตียนเราได้ มาว่าเราได้ กล่าวเตือนเราได้ ผู้ที่หยาบกว่า ผู้ที่อ่อนกว่า เล็กกว่า ที่ไม่มีอำนาจวาสนาติเตียนเราได้นี่ขันติอันอย่างประเสริฐ ขันติอย่างนี้มันจะยับยั้งตัวเราเอง

แล้วเรามีขันติความอดทนขึ้นมานี่ ไม่ตามความเห็นของใจไป ไม่ตามความต้องการปรารถนานั้นไป สิ่งที่มันมีบุญกุศลเราสร้างสมมา เราทำขึ้นมาต้องได้กับเรา เราทำโดยสุจริตธรรมนี่แหละ ตามสุจริต ตามความประพฤติปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มันจะเป็นตามความเป็นจริงอันนั้นเพราะเราได้สร้างสมมา ถ้าเราไม่ได้สร้างสมมา เห็นไหม เราทุจริต เราพยายามแสวงหามาขนาดไหน มันก็ได้สิ่งนั้นมาแต่มันเป็นผลที่ว่าไม่คุ้มค่าเลย

สิ่งที่ได้ผลมานี่อาศัยชั่วคราวเพราะเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย แต่ผลของใจที่มันเป็นความเศร้าหมองของใจ มันจะอยู่ในหัวใจของเราตลอดไป แล้วมันจะรู้ว่าเราเคยทำความผิดพลาดมา ความสะสมขึ้นมานี่อันนี้มันทำให้เราไปในที่ต่ำ นรกเป็นอย่างนี้ สวรรค์ในอก นรกในใจ นรกในใจนี่มันเผา มันรู้ว่าเราทำความชั่วขึ้นมาในหัวใจ มันเผาในหัวใจของเราขึ้นมา แล้วมันจะเป็นไปอย่างนั้น

นี่มันจะดัดแปลงได้ ถ้าเรามีความผิดขึ้นมาแล้วเราจะแก้ไขตัวเองไม่ได้เลยเหรอ องคุลิมาลฆ่าคนมา ๙๙๙ ศพ ด้วยความเข้าใจผิดว่าสิ่งนั้นจะไปเอาวิชาการ เขามีจิตใจอันประเสริฐต้องการวิชาการ ต้องการความรู้ แต่เพราะว่าคบมิตรผิด ครูบาอาจารย์เขาสอน เขาหลอกลวงไปอย่างนั้น เขาทำความผิดพลาดไป เขาก็ยังสามารถดัดแปลงจนเป็นพระอรหันต์ไปได้ องคุลิมาลเห็นไหม ถึงกับหลุดพ้นออกไปเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาในหัวใจนั้น

แล้วความผิดพลาดของเราจะมีมากขนาดไหน มากขนาดนั้นไหม? ความผิดพลาดเราไม่มากขนาดนั้นเราก็แก้ไขได้ ความผิดพลาดเป็นสิ่งที่ไม่ดี เป็นสิ่งทำให้ใจเราถ้าเรายึดมั่นถือมั่นกับใจดวงนั้น มันจะเป็นไปตามอย่างนั้น นี่ขวัญก็หาย ความเข้าใจของตัวเองก็ไม่มี หลุดไปตามอำนาจของกิเลส แต่ถ้าเราบำรุงขวัญใจของเรามานี่ มีขวัญมีกำลังใจขึ้นมา สร้างสมบุญกุศลขึ้นมา สร้างขวัญกำลังใจของตัวเองขึ้นมา จากสร้างบุญกุศลอย่างหยาบขึ้นมา ทาน เห็นไหม มีทาน มีการให้ แล้วก็พยายามประพฤติปฏิบัติ รักษาใจของเราขึ้นมา นั่นน่ะขวัญเกิดขึ้นมาจากภายใน

เราสร้างขวัญของเราเอง แล้วขวัญเกิดขึ้นมาจากเรา สติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ความประมาทไม่มี ความผิดพลาดคือความประมาทของใจ ใจประมาทขึ้นมาทำสิ่งใดตามอำนาจของเขาเพราะเรามีความประมาทเลินเล่อ ถ้ามีสติสัมปชัญญะเพราะอะไร? เพราะสติมันมีเกิดขึ้นมาได้เพราะจิตมันมีสัมมาสมาธิ มันเกิดขึ้นมาเพราะความมีสติยับยั้งขึ้นมา ถ้ามีสติสืบต่อขึ้นไปนี่มีสติยับยั้งโดยหัวใจขึ้นมา ขวัญเกิดขึ้นมาจากความมีสติยับยั้งของเราขึ้นมา เราทำอะไรด้วยความไม่ผิดพลาดพลั้งเผลอไป มันก็จะเป็นสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ

ความเห็นชอบของใจจะหมุนเข้ามาจากภายใน วิปัสสนาเกิดขึ้นมา เพราะอะไร? ทุกคนต้องการชำระหัวใจออกไป ชำระออกจากกิเลส เห็นโทษของกิเลสตั้งแต่ความหยาบของการที่ทำให้จิตฟุ้งซ่านอยู่แล้ว แล้วจิตสงบขึ้นมานี่ แยกแยะเข้าไป ๆ อันนี้คือธรรมที่เกิดในหัวใจของเรา เรามีขวัญมีกำลังใจขึ้นมาแล้ว เรายังทำของเราขึ้นมาให้เป็นหัวใจที่เป็นธรรมขึ้นมา

ขวัญและกำลังใจเกิดขึ้นจากสพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมที่เป็นกิริยาที่เกิดขึ้นจากการสร้างสมขึ้นมา กับธรรมที่เป็นอกุปปธรรม ที่มันชำระกิเลสออกไปในหัวใจของเรา มันเป็นสิ่งที่ว่าในหัวใจมันถึงจะเห็นตามความจริงว่าใจนี้ไม่เคยตายจริง ๆ มีอยู่ตลอดไป แล้วมีอยู่แบบผู้รู้ตามเห็นจริง พุทธะผู้ตื่น ผู้เบิกบาน รู้ตามความเป็นจริงในหัวใจนั้น

สุขเกิดขึ้นอย่างนี้ สุขในร่างของมนุษย์นี่เกิดขึ้นมา ในความเป็นอยู่ของโลกเขานี่ ความพอใจความสรรเสริญเยินยอกันในโลกเขาเป็นส่วนหนึ่ง สุขจากในความติเตียนตนเองไม่ได้ ตนเองหัวใจนั้นสมบูรณ์ตลอดไปเป็นธรรมในหัวใจ มันจะเป็นความสุขอย่างยิ่งในหัวใจ เกิดขึ้นมาจากเราสร้างขวัญกำลังใจของเรา เราทำของเราขึ้นมา แล้วจะเป็นผลประโยชน์กับเราขึ้นมาในใจดวงนี้ ใจของเราที่ว่าอ่อนแออยู่นี่ ใจของเราที่ว่าไม่สามารถพึ่งตนเองได้นี่ มันจะพึ่งตนเองได้ แล้วมันจะทำให้เราเป็นปัจจัตตัง

ความสุขเกิดขึ้นมาจากหัวใจ หัวใจนั้นจะมีความสุขมาก สุขโดยการประพฤติปฏิบัติ สุขโดยการเราเชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สุขตามเราเชื่อครูบาอาจารย์ เราเชื่อก่อน เชื่อแล้วเดินตามขึ้นไป แล้วมันจะเป็นปัจจัตตัง สุขจากความเป็นจริงที่ไม่ต้องเชื่อใครเลย มันเป็นความประจักษ์จากใจดวงนั้น ใจดวงนั้นจะประจักษ์เห็นตามความเป็นจริงนั้น แล้วเป็นสุขอย่างยิ่ง เอวัง